Sorry, your browser does not support JavaScript!
-
A A A
+
  • youtube
  • facebook
  • English Thai
ผลการดำเนินงาน View : 129
กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 27/2565 กสม. ตรวจสอบกรณีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงถูกร้องทำร้ายร่างกายผู้ต้องสงสัยระหว่างควบคุมตัว แนะกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเยียวยาผู้เสียหายและกำกับดูแลให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน - ห่วงสถานการณ์การใช้กัญชาเสรีที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น หาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาเชิงระบบ
กสม. ตรวจสอบกรณีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงถูกร้องทำร้ายร่างกายผู้ต้องสงสัยระหว่างควบคุมตัว แนะกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเยียวยาผู้เสียหายและกำกับดูแลให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน - ห่วงสถานการณ์การใช้กัญชาเสรีที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น หาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาเชิงระบบ
วันที่ 4 สิงหาคม 2565 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และ นางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 27/2565 โดยมีวาระสำคัญ ดังนี้
1. กสม. ตรวจสอบกรณีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงถูกร้องเรียนทำร้ายร่างกายบุคคลในระหว่างควบคุมตัวเพื่อซักถาม แนะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเยียวยาผู้เสียหาย - กำชับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งเมื่อเดือนมิถุนายน 2564 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 43 ค่ายอิงคยุทธบริหาร ทำร้ายร่างกายบิดาของตนซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในระหว่างที่บิดาถูกควบคุมตัวและดำเนินกรรมวิธีซักถาม ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี โดยภายหลังจากบิดาถูกควบคุมตัวไว้และผู้ร้องได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม สังเกตเห็นว่า บิดามีสีหน้าวิตกกังวล และมีร่องรอยบาดเจ็บตามร่างกาย ซึ่งในขณะที่พูดคุยมีเจ้าหน้าที่ทหารยืนประกบข้างตัวบิดาตลอดเวลา จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากฝ่ายผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง ผู้เสียหาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบหลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว รับฟังได้ว่า ในการเข้าสู่กรรมวิธีซักถาม ผู้เสียหายคือบิดาของผู้ร้องได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร จำนวน 2 ครั้ง ทั้งก่อนและหลังการดำเนินกรรมวิธีซักถาม ผลการตรวจทั้งสองครั้งในใบสำคัญความเห็นของแพทย์โดยสรุประบุว่า แผลช้ำก่อนเข้าเรือนจำ โดยหลังถูกควบคุมตัวอาการทั่วไปปกติดี และปฏิเสธการถูกทำร้ายร่างกาย ทั้งนี้ได้มีการลงลายมือชื่อของผู้เสียหายเพื่อรับรองความถูกต้องของข้อมูลด้วย อย่างไรก็ดี ผู้เสียหายให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมกับพนักงานเจ้าหน้าที่ กสม. ว่า การตรวจร่างกายภายหลังการถูกควบคุมตัว แพทย์ไม่ได้สอบถามผู้เสียหายเกี่ยวกับการถูกทำร้ายร่างกาย ไม่มีการให้ถอดเสื้อผ้าเพื่อตรวจดูร่างกายอย่างละเอียด และผู้เสียหายก็ไม่ได้แจ้งปฏิเสธการถูกทำร้ายร่างกายตามที่แพทย์ระบุ ข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่พยานหลักฐานของหน่วยงานผู้ร้องกับผู้เสียหายขัดแย้งกันในสาระสำคัญ อย่างไรก็ดี พบว่ามีผลการตรวจร่างกายผู้เสียหายโดยแพทย์ของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จากการที่ผู้ร้องได้เข้าเยี่ยมผู้เสียหายระหว่างการถูกควบคุมตัวแล้วมีข้อสงสัยว่าอาจจะถูกทำร้ายร่างกาย จึงได้ร้องขอให้นำตัวผู้เสียหายส่งตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลดังกล่าวในวันที่ผู้เสียหายถูกควบคุมตัว ผลการตรวจสรุปได้ว่า ผู้เสียหายรู้สึกตัวดี ขยับแขนขาได้ตามปกติ มีแผลถลอกที่ไหล่ข้างขวา ไม่พบบาดแผลตำแหน่งอื่น ๆ จากพยานหลักฐานทั้งหมด จึงรับฟังได้เบื้องต้นว่า ผู้เสียหายมีบาดแผลถลอกก่อนที่จะถูกควบคุมตัวที่กรมทหารพรานที่ 43 ค่ายอิงคยุทธบริหาร
อย่างไรก็ดี มีประเด็นที่ต้องพิจารณาต่อไป คือ ในระหว่างการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ทหารได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายหรือไม่ ประเด็นนี้ ผู้เสียหายให้ข้อเท็จจริงว่า ในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหาร ใช้เท้าถีบและใช้เข่ากระทุ้งที่ร่างกายหลายครั้ง รวมทั้งใช้มือดึงบริเวณลำคอและมือของผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บ เมื่อพิจารณาประกอบบันทึกการเข้าเยี่ยมของผู้ร้องกับญาติทั้ง 5 วันในระหว่างที่ผู้เสียหายถูกควบคุมตัว พบว่า ผู้ร้องกับญาติเริ่มพบเห็นร่องรอยความผิดปกติของผู้เสียหายซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของผู้เสียหายในช่วงเวลาเดียวกันตามลำดับในแต่ละวัน แม้ข้อเท็จจริงจากฝ่ายผู้เสียหายและญาติจะขัดแย้งกับผลการตรวจร่างกายครั้งหลังของแพทย์โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหารที่ระบุว่า อาการทั่วไปของผู้เสียหายปกติดี และปฏิเสธการถูกทำร้ายร่างกาย แต่ผู้เสียหายให้ข้อเท็จจริงว่าแพทย์ไม่ได้ให้ผู้เสียหายถอดเสื้อออกเพื่อตรวจร่างกาย รวมถึงในการตรวจสอบ แม้จะไม่มีพยานหลักฐานอื่น โดยเฉพาะพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้น แต่การให้ข้อเท็จจริงของผู้ร้องกับผู้เสียหายไม่ได้เกิดขึ้นในขณะเดียวกันที่จะทำให้เกิดข้อพิรุธว่าซักซ้อมกันมาก่อน ในชั้นนี้จึงเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ทหารผู้ถูกร้องทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และเป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้เสียหายจนเกินสมควรแก่เหตุ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้ กสม. มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในขณะที่ผู้ร้องและญาติเข้าเยี่ยมผู้เสียหาย มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 5-7 คนอยู่ร่วมรับฟังการเยี่ยมด้วย ทำให้ผู้เสียหายไม่กล้าที่จะพูดคุยกับญาติที่มาเยี่ยมได้อย่างเต็มที่ แม้ในการตรวจสอบจะไม่ปรากฏว่ามีการขัดขวางการพูดคุยระหว่างผู้เสียหายกับญาติ แต่หากมิใช่เหตุผลที่จำเป็นอย่างยิ่งหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว กรมทหารพรานที่ 43 ค่ายอิงคยุทธบริหาร ควรจัดให้มีเจ้าหน้าที่อยู่ร่วมในการเยี่ยมในจำนวนที่เพียงพอต่อการรักษาความปลอดภัยเท่านั้น นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังให้ข้อเท็จจริงว่า ในระหว่างถูกควบคุมตัวได้ถูกเรียกสอบถามข้อมูลในช่วงเวลาประมาณ 03.00-04.00 น. แม้ตามระเบียบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 จะกำหนดเป็นข้อยกเว้นให้เจ้าหน้าที่สอบถามผู้ต้องสงสัยในเวลากลางคืนได้ แต่การสอบถามในช่วงเวลากลางดึกเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ถูกสอบถาม และสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
ด้วยเหตุนี้ กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2565 จึงเห็นควรเสนอแนะมาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งมาตรการในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
(1) มาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ให้ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ที่กระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้เสียหายกรณีนี้ และต้องเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามระเบียบกองทัพภาคที่ 4 / กอ.รมน. ภาค 4 ว่าด้วยวิธีการปฏิบัติในการตรวจค้น และการกักตัวบุคคลที่ต้องสงสัยตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2563 ข้อ 5.3.4 ที่กำหนดข้อห้ามเจ้าหน้าที่กระทำการในลักษณะที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ถูกควบคุมตัว และให้ดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อเยียวยาความเสียหายทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจแก่ผู้เสียหายและครอบครัว นอกจากนี้ ให้พิจารณาจัดให้มีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวขณะควบคุมตัวและสอบสวนบุคคลซึ่งเป็นผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดตามกฎหมาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ อันสอดคล้องกับหลักการคุ้มครองบุคคลตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับรายงานผลการตรวจสอบกรณีนี้
(2) มาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
ให้กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า และกรมทหารพรานที่ 43 ค่ายอิงคยุทธบริหาร กำหนดแนวทางการจัดให้มีเจ้าหน้าที่อยู่ร่วมในการเยี่ยมญาติ ซึ่งจะต้องมีจำนวนที่เพียงพอต่อการรักษาความปลอดภัยเท่านั้น และให้มีระยะห่างที่ไม่เป็นการล่วงรู้หรือเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ถูกควบคุมตัวและญาติ นอกจากนี้ให้มีการทบทวนระเบียบว่าด้วยวิธีการปฏิบัติในการตรวจค้น และการกักตัวบุคคลที่ต้องสงสัยตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2563 จากเดิมที่กำหนดห้วงเวลาการสอบถามข้อมูลจากผู้ถูกควบคุมตัว ตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 นาฬิกา เว้นแต่กรณีจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจรอได้ เป็นให้กระทำได้ในช่วงเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก และหลีกเลี่ยงการสอบถามบุคคลในช่วงเวลาหลังจากนั้น เว้นแต่เป็นการสอบสวนต่อเนื่อง หรือมีเหตุฉุกเฉินอย่างยิ่ง โดยเทียบเคียงหลักการของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 96 ว่าด้วยเรื่องการค้น
นอกจากนี้ ให้โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหารกำหนดมาตรฐานในการตรวจร่างกายของผู้ต้องสงสัย โดยให้มีการสอบถามประวัติการถูกทำร้ายร่างกายและตรวจบาดแผลตามร่างกายโดยละเอียดทุกครั้ง และให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกันทั้งก่อนและหลังการควบคุมตัว
2. กสม. ติดตามสถานการณ์การใช้กัญชาที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนโดยเฉพาะเด็ก เยาวชน และหญิงตั้งครรภ์ จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อวางแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาเชิงระบบ
ตั้งแต่รัฐบาลมีนโยบายในการใช้กัญชาทางการแพทย์เมื่อปี 2562 และต่อมามีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ. 2565 บังคับใช้เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา ซึ่งมีผลควบคุมเฉพาะสารสกัดจากพืชกัญชา กัญชง ที่มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC ) น้ำหนักเกินร้อยละ 0.2 เท่านั้น ที่ยังเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ส่วนอื่นเป็นกัญชาถูกกฎหมาย อันถือเป็นการปลดล็อกกัญชาออกจากสารเสพติด นั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ติดตามสถานการณ์การใช้กัญชา โดยกำหนดเป็นประเด็นหนึ่งในสิทธิด้านสุขภาพที่ต้องเฝ้าระวังมาอย่างต่อเนื่อง และเคยมีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายต่อสุขภาพหากใช้กัญชาที่ไม่ผ่านการผลิตที่มีคุณภาพรวมทั้งใช้เกินขนาด
จากการติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์การใช้กัญชาของ กสม. พบว่า ภายหลังมีการปลดล็อคกัญชาออกจากการเป็นสารเสพติดและมีการนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากทางการแพทย์ ได้ปรากฏสถานการณ์และข้อห่วงกังวลจากภาคประชาสังคมและองค์กรด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพต่อประชาชนผู้ใช้กัญชาในปริมาณหรือรูปแบบที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนที่มีโอกาสเสพติดกัญชามากกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของสมอง ระดับสติปัญญา การเรียนรู้ และการยับยั้งชั่งใจ จนเกิดอาการทางจิตเวชได้ เช่นเดียวกับการใช้สารสกัดกัญชาในหญิงตั้งครรภ์และหญิงที่กำลังให้นมบุตรซึ่งเด็กในครรภ์หรือทารกอาจได้รับผลกระทบต่อพัฒนาการและความอยู่รอด นอกจากนี้การใช้กัญชาเพื่อการนันทนาการอย่างไม่เหมาะสมอาจส่งผลให้เกิดผลกระทบด้านความปลอดภัยในชีวิตและร่างกายจากอุบัติเหตุตามมา ซึ่งหลายภาคส่วนมีความห่วงใยว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นภัยคุกคามต่อระบบสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
กสม. เห็นว่า แม้การปลดล็อคให้ใช้กัญชาจะทำให้ประชาชนผู้บริโภคได้มีสิทธิเลือกวิธีการรักษาโรคเพิ่มมากขึ้น แต่การใช้กัญชาโดยที่ปัจจุบันยังไม่มีมาตรการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ควบคุม กำกับ และเฝ้าระวังผลกระทบจากการนำกัญชาไปใช้อย่างเป็นระบบ ย่อมส่งผลกระทบต่อสิทธิในสุขภาพและสิทธิของผู้บริโภค ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดให้มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการรับรู้ข้อมูลที่เป็นจริงอย่างรอบด้านอันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ดังที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 61 บัญญัติรับรองไว้ นอกจากนี้หากพิจารณาในแง่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเด็กและเยาวชน รัฐจะต้องดำเนินมาตรการทั้งในทางนิติบัญญัติ บริหาร สังคม และทางการศึกษาเพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากการใช้ยาเสพติดรวมทั้งสารที่มีพิษต่อจิตประสาทอื่น ๆ เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักข้อ 33 อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามด้วย
ในการนี้ เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้และบริโภคกัญชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก เยาวชน หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ได้รับความคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน กสม. จึงเห็นควรให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนหน่วยงานด้านสาธารณสุขและการแพทย์ องค์กรด้านเด็ก ภาคประชาสังคม และนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะต่อสถานการณ์การใช้กัญชาและข้อพึงระวังผลกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเด็ก เยาวชน สตรีตั้งครรภ์ และกลุ่มบุคคลที่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ ตลอดจนมาตรการทางกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมมิให้การใช้กัญชาของประชาชนส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยในระหว่างที่ร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง พ.ศ. .... ยังไม่มีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ การรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 5 สิงหาคม 2565 นี้ โดย กสม. จะรวบรวมข้อมูลและข้อคิดเห็นที่ได้จัดทำเป็นข้อเสนอแนะเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
4 สิงหาคม 2565

04/08/2565

© 2015 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเเห่งชาติ. All Right Reserved.
นโยบายเว็ปไซต์ | นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์.

  ipv6 ready 
จำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด
5376826
คน
จำนวนผู้เข้าชมวันนี้
1457
คน