กสม. ฉัตรสุดา หารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมหญิงวัยเจริญพันธุ์รับประทานวิตามินโฟลิก (บี 9) เน้นคุ้มครองสิทธิแม่และเด็กเชิงป้องกันเพื่อลดความพิการแต่กำเนิด

30/11/2561 43

          วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ นางฉัตรสุดา จันทร์ดียิ่ง กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะทำงานด้านสิทธิผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็ก การศึกษา และการสาธารณสุข เปิดเผยถึงการเข้าพบนายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยศาสตราจารย์กิตติคุณ แพทย์หญิงพรสวรรค์ วสันต์ นายกสมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิด และนายแพทย์พิชิต ศิริวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย เพื่อหารือร่วมกับอธิบดีกรมอนามัย เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ถึงแนวทางการดำเนินการลดความเสี่ยงจากความพิการแต่กำเนิดของเด็ก เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า  ความพิการแต่กำเนิดของบุคคลส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคนพิการและคนในครอบครัว รวมทั้งภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการรับบริการสาธารณสุข ตลอดจนความยากลำบากในการเข้าถึงบริการสาธารณะ และการถูกเลือกปฏิบัติจากการจ้างงาน
                โดยที่ “ความพิการแต่กำเนิด” เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ไทยต้องเผชิญ เนื่องจากในแต่ละปีมีเด็กที่คลอดและพิการแต่กำเนิดกว่าปีละ ๓๐,๐๐๐ คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการดูแลราวปีละ ๑,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งที่ในทางการแพทย์โดยการแนะนำขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ความพิการแต่กำเนิดสามารถป้องกันได้ด้วยการส่งเสริมให้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีโอกาสตั้งครรภ์รับประทานวิตามินโฟลิก (Folic Acid) หรือ บี ๙ ในปริมาณที่เหมาะสม ตั้งแต่ก่อนและหลังตั้งครรภ์ ๓ เดือน ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงจากการพิการแต่กำเนิดได้ร้อยละ ๒๐ – ๕๐ และลดโอกาสการเกิดและการเกิดซ้ำความพิการแต่กำเนิดของหลอดประสาทได้ถึงร้อยละ ๗๐
                ตนเห็นว่าเพื่อเป็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเชิงป้องกันของหญิงวัยเจริญพันธุ์และทารกที่จะกำเนิด อันสอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ข้อ ๑๒ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อ ๒๔ ซึ่งรับรองว่า รัฐภาคีควรดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อลดอัตราการตายของทารกก่อนคลอดและของเด็กแรกเกิด ตลอดจนประกันให้มีการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมแก่มารดา ทั้งก่อนและหลังคลอด รวมถึงการแนะแนวให้ความรู้แก่บิดามารดาในเรื่องโภชนาการและการวางแผนครอบครัว จึงได้หารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขถึงประเด็นดังกล่าว ซึ่งเป็นการติดตามการดำเนินงานของรัฐบาลตามข้อเสนอแนะของ กสม. เมื่อปี ๒๕๖๐ กรณีนโยบายและแผนการดำเนินงานเพื่อลดความพิการแต่กำเนิดโดยการกำหนดให้วิตามินโฟลิก (Folic Acid) เป็นส่วนประกอบในอาหาร ด้วย โดยได้ข้อสรุปว่า
                 ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมจะเร่งรัดการผลิตวิตามินโฟลิก ขนาดเม็ดละ ๔๐๐ ไมโครกรัม (๐.๔ มิลลิกรัม) ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่หญิงวัยเจริญพันธุ์ควรได้รับประทานต่อเนื่องทุกวันในช่วงก่อนและหลังตั้งครรภ์ ๓ เดือน และหน่วยงานในกำกับของกระทรวงสาธารณสุขจะได้เร่งดำเนินการศึกษาวิจัยเพื่อให้มีการผสมวิตามินโฟลิกในอาหารที่เหมาะสมที่คนไทยรับประทานเช่นเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และอีกกว่า ๘๐ ประเทศทั่วโลก โดยตนในฐานะประธานคณะทำงานด้านสิทธิผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็ก การศึกษา และการสาธารณสุข จะร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุนให้มีการส่งเสริมการให้โภชนศึกษาแก่หญิงวัยเจริญพันธุ์และคู่สมรสที่พร้อมจะมีบุตร ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีส่วนในการวางแผนครอบครัวให้ได้ทราบถึงประโยชน์ของวิตามินโฟลิก เพื่อเป็นการลดโอกาสเสี่ยงจากความพิการแต่กำเนิดของทารกต่อไป
                “การส่งเสริมให้หญิงที่ต้องการมีบุตรได้รับประทานวิตามินโฟลิกเป็นมาตรการเชิงป้องกันที่สำคัญมาตรการหนึ่งในการที่จะคุ้มครองสิทธิของแม่และเด็กที่จะเกิดมาในภายหลัง ให้ไม่ต้องตกอยู่ในภาวะแห่งความพิการที่จะส่งผลกระทบต่อสิทธิในการดำรงชีวิตในหลายด้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าชื่นชมว่ารัฐบาลได้ เห็นความสำคัญและมีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวแล้วอย่างต่อเนื่อง” นางฉัตรสุดา กล่าว
 

30/11/2561

ไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เลื่อนขึ้นด้านบน