กสม.เตือนใจ ดีเทศน์ ชี้ทางออกปัญหาข้อพิพาทกรณีการไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ

10/11/2560 107

               สืบเนื่องจากกรณีปัญหาข้อพิพาทระหว่างกรุงเทพมหานครกับชุมชนป้อมมหากาฬซึ่งยืดเยื้อมายาวนาน โดยกรุงเทพมหานครให้ชุมชนย้ายออกภายในสิ้นปีนี้นั้น

               นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้แทนชุมชนป้อมมหากาฬได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งได้ดำเนินการศึกษากฎหมาย หลักการสิทธิมนุษยชน เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และรับฟังแลกเปลี่ยนความเห็นจากผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นการอยู่ร่วมกันของบุคคลโดยมีพื้นที่เป็นหลักแหล่ง มีรากฐานทางประวัติศาสตร์ในการอยู่ร่วมกันมายาวนาน สมาชิกในชุมชนมีความผูกพันระหว่างกันและมีกระบวนการตัดสินใจร่วมกันอย่างมีแบบแผน จึงมีลักษณะเป็นชุมชนท้องถิ่นซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้บัญญัติรับรองสิทธิในการอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติ และสิทธิในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งนี้ ชุมชนได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาภายใต้โครงการวิจัยเพื่อจัดทำแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาชุมชนบ้านไม้โบราณ “ป้อมมหากาฬ” แสดงให้เห็นแนวทาง ข้อเสนอแนะของชุมชนอันเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น การอนุรักษ์อาคารบ้านไม้โบราณซึ่งมีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ดินให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนได้อย่างไร ตามที่รัฐธรรมนูญได้ให้การรับรองไว้ ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมายาวนาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงมีมติที่ประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เห็นควรให้มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามมาตรา ๒๔๗ (๑) และข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง ตามตรา ๒๔๗ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ต่อคณะรัฐมนตรีและกรุงเทพมหานคร ดังนี้

               แนวทางที่ ๑ คณะรัฐมนตรีและกรุงเทพมหานครควรดำเนินการตามแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาชุมชนบ้านไม้โบราณป้อมมหากาฬ ซึ่งเป็นความร่วมมือ ภายใต้กรอบข้อตกลงร่วม ๓ ฝ่าย ในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนป้อมมหากาฬ ลงวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ ระหว่างมหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพมหานคร และชาวชุมชนป้อมมหากาฬ โดยนำที่ดินจำนวน ๘ แปลง เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้มาก่อนบังคับใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อดำเนินการปรับปรุงวางผังและปรับปรุงชุมชนใหม่ตามแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาชุมชนบ้านไม้โบราณในรูปแบบพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหรือพิพิธภัณฑ์มีชีวิต โดยให้สมาชิกชุมชนที่มีคุณสมบัติ สามารถอยู่อาศัยหรือใช้ประโยชน์ในพื้นที่ภายใต้เงื่อนไขข้อบัญญัติที่กรุงเทพมหานครกำหนดขึ้น เพื่อควบคุมดูแลการใช้ประโยชน์พื้นที่ให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย

               แนวทางที่ ๒ กรณีมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๕ กรุงเทพมหานครควรสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการแก้ไขหรือตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเฉพาะบริเวณที่ตั้งพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขึ้นมาใหม่โดยกำหนดวัตถุประสงค์ของการเวนคืนให้สอดคล้องกัน ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวกรุงเทพมหานครควรดำเนินการโดยการมีส่วนร่วมของชาวชุมชนป้อมมหากาฬรวมถึงมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับกรมศิลปากร และสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์     

               นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ให้สอดคล้องกับหลักการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ด้วย ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมหลักการว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์แตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ หลายประการ เช่น การจ่ายค่าทดแทนซึ่งต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อผู้ถูกเวนคืน รวมทั้งประโยชน์ที่ผู้ถูกเวนคืนอาจได้รับ การกำหนดให้คืนอสังหาริมทรัพย์เหลือจากการใช้ประโยชน์และเจ้าของเดิมหรือทายาทประสงค์จะได้คืนให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาท การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อนำไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนหลัก เป็นต้น


 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

10/11/2560

เลื่อนขึ้นด้านบน