กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 18/2567 มหาเถรสมาคมตอบรับข้อเสนอแนะ กสม. มีมติเห็นควรห้ามบังคับตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนบวชเป็นพระภิกษุ - กสม. ทำข้อเสนอแนะเรื่องทรงผมนักเรียน ชี้การกำหนดระเบียบทรงผมต้องรับฟังความเห็น และเน้นการมีส่วนร่วมของเด็ก

31/05/2567 350

                วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายบุญเกื้อ สมนึก ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 18/2567 โดยมีวาระสำคัญดังนี้

 

            1. มหาเถรสมาคมตอบรับข้อเสนอแนะ กสม. มีมติเห็นควรห้ามบังคับตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนบวชเป็นพระภิกษุ ย้ำหลักการไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสุขภาพ

            นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนกรณีวัดแห่งหนึ่ง ในเขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร กำหนดให้ผู้สมัครบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ต้องแสดงผลการตรวจสุขภาพและการตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) โดย กสม. ได้มีมติเมื่อเดือนกันยายน 2566 มีข้อเสนอแนะไปยังวัดดังกล่าว ให้ยกเลิกการตรวจหาเชื้อเอชไอวีของผู้ประสงค์จะเข้ารับการอุปสมบท และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แจ้งเวียนไปยังวัดที่อยู่ในสังกัดทุกวัดไม่ให้บังคับตรวจหาเชื้อเอชไอวีของผู้ประสงค์จะเข้ารับการอุปสมบท เพื่อมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมโดยใช้เหตุแห่งการติดเชื้อเอชไอวีมาเป็นข้อจำกัดที่ลิดรอนโอกาสในการเข้าถึงเสรีภาพในการปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนาพุทธ ทั้งนี้ เนื่องจากมีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่า เชื้อเอชไอวีจะไม่ติดต่อจากการทำกิจวัตรประจำวันทั่วไป ไม่ติดต่อผ่านทางระบบหายใจ อีกทั้งเป็นเชื้อที่ตายง่ายเมื่ออยู่นอกร่างกาย หากผู้ติดเชื้อได้รักษาอย่างถูกต้องด้วยการรับประทานยาต้านเชื้ออย่างต่อเนื่อง จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง และดำรงชีวิตได้เช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป ประกอบกับกฎมหาเถรสมาคมกำหนดเพียงว่าผู้ประสงค์จะบรรพชาต้องเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์ และมีเพียงข้อห้ามที่ไม่อนุญาตให้บรรพชาอุปสมบทแก่คนที่มีโรคติดต่อเป็นที่น่ารังเกียจ เช่น วัณโรคในระยะอันตราย เท่านั้น โดยให้เป็นดุลพินิจของพระอุปัชฌาย์ แต่การใช้ดุลพินิจดังกล่าวต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงอย่างสมเหตุสมผลตามบริบทของสังคมไทยและข้อมูลทางการแพทย์ โดยต้องคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของบุคคลด้วย

            ล่าสุด เมื่อเดือนเมษายน 2567 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มีหนังสือแจ้งการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอแนะของ กสม. โดยแจ้งมติมหาเถรสมาคม เรื่อง การตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) กรณีบรรพชาอุปสมบทแก่บุคคลทั่วไป ระบุว่า มหาเถรสมาคมได้มีมติที่ 313/2567 รับทราบความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขตามรายงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่า การติดเชื้อเอชไอวีไม่ใช่โรค จึงไม่เข้าข่ายเป็นโรคที่น่ารังเกียจตามกฎมหาเถรสมาคม ประกอบกับมีความเห็นของศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษามหาเถรสมาคมว่า การบังคับให้ผู้หนึ่งผู้ใดต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวี ไม่อาจกระทำได้ตามกฎหมาย อนึ่ง มตินี้ไม่กระทบกระเทือนต่อหน้าที่และอำนาจของพระอุปัชฌาย์และเจ้าอาวาสที่จะคัดกรองกุลบุตรและปกครองพระภิกษุสามเณรในสังกัด  และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ดำเนินการแจ้งเจ้าคณะใหญ่ทราบ และแจ้งพระอุปัชฌาย์ ถือปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

            “กสม. ขอชื่นชมมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนา ที่ได้ตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้โดยเร็ว อีกทั้งได้แจ้งให้พระสังฆาธิการระดับสูง และพระอุปัชฌาย์ ทราบแล้ว นายวสันต์กล่าว และเน้นย้ำว่าบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสภาพทางกาย หรือสุขภาพ จะกระทำมิได้ นอกจากนี้ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการนับถือศาสนารวมทั้งการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน หลักการเหล่านี้เป็นหลักสิทธิมนุษยชนสากลซึ่งสอดคล้องและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 ประกอบมาตรา 31

 

            2. กสม. ทำข้อเสนอแนะเรื่องทรงผมนักเรียน ชี้การกำหนดระเบียบทรงผมต้องรับฟังความเห็นและเน้นการมีส่วนร่วมของเด็ก

 

            นายบุญเกื้อ สมนึก ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการบังคับให้นักเรียนตัดทรงผมตามข้อบังคับของโรงเรียนตลอดจนการทำโทษนักเรียนที่ฝ่าฝืนเกินสมควรแก่เหตุ โดยในปี 2566 กระทรวงศึกษาธิการได้หารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาและต่อมาได้ยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 และให้สถานศึกษาแต่ละแห่งกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการไว้ทรงผมนักเรียนได้เอง กสม. เห็นว่าการกำหนดแบบทรงผมนักเรียนและการลงโทษนักเรียนที่ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการไว้ทรงผมนักเรียนเป็นประเด็นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน จึงเห็นสมควรให้มีการศึกษาเรื่องการไว้ทรงผมของนักเรียนเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะในการคุ้มครองสิทธิของเด็ก โดยได้พิจารณาเอกสารที่เกี่ยวข้อง บทบัญญัติของกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชน และความเห็นจากหน่วยงานของรัฐและนักวิชาการที่เกี่ยวข้องแล้วมีข้อพิจารณาสำคัญ 3 ประเด็น ดังนี้

            ประเด็นแรก ข้อพิจารณาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของกฎเกณฑ์ที่กำหนดทรงผมนักเรียนและนักศึกษา เห็นว่า แม้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 จะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในทางปฏิบัติผลของระเบียบนั้นยังคงอยู่และได้รับการรับรองให้ใช้ต่อไปเพื่อกำหนดเจตจำนงร่วมกันระหว่างนักเรียน สถานศึกษาและผู้ปกครองในเรื่องทรงผม อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงอำนาจในการออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียนฯ เห็นว่า เป็นการออกระเบียบโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นเพียงกฎที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติที่กำหนดโครงสร้างหน่วยงานของรัฐ มิใช่บทบัญญัติที่ให้อำนาจออกกฎหรือคำสั่งอันจะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลภายนอกขอบข่ายการบริหารจัดการภายในองค์กร

            นอกจากนี้ แม้ปัจจุบันสถานศึกษาแต่ละแห่งจะมีอำนาจกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนได้เองตามแนวนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ แต่การกำหนดแบบทรงผมของนักเรียนถือเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล เป็นการก้าวล่วงเข้าไปยังแดนแห่งสิทธิและเสรีภาพในการตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับเส้นผมอันเป็นส่วนประกอบของร่างกาย ซึ่งได้รับการรับรองและคุ้มครองโดยกฎหมาย ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้หากไม่ได้รับความยินยอม ประกอบกับนักเรียนมิใช่บุคลากรด้านการศึกษาหรือมีตำแหน่งหน้าที่เช่นเดียวกับบุคลากรที่อยู่ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ การมีข้อบังคับกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมก็ดี การกำหนดมาตรการบังคับกรณีที่มีการฝ่าฝืนแบบการไว้ทรงผมก็ดี ล้วนแต่เป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของนักเรียนซึ่งมิใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหน่วยงานทั้งสิ้น ดังนั้น การกำหนดแบบทรงผมของนักเรียนจึงต้องมีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติให้อำนาจไว้เสียก่อน และไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้อำนาจทั่วไปในการบริหารงานภายในหน่วยงานด้านการศึกษามาใช้ได้ 

            ประการที่สอง ข้อพิจารณาเกี่ยวกับหลักการคุ้มครองสิทธิของนักเรียนในการไว้ทรงผม เห็นว่า หากกระทรวงศึกษาธิการหรือสถานศึกษาจำเป็นต้องกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนในกรณีต่าง ๆ กระทรวงศึกษาธิการต้องมีหลักประกันสิทธิของเด็กในสถานศึกษาว่าคำสั่งหรือข้อบังคับที่มีผลให้นักเรียนต้องไว้ทรงผมนั้นมีรูปแบบที่สอดคล้องกับศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของเด็กตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ข้อ 28 วรรคสอง และปรากฏเหตุผลความจำเป็นในบทบัญญัติแห่งกฎหมายเพื่อการป้องกันสุขอนามัย หรือการคุ้มครองความปลอดภัยสาธารณะ ทั้งยังต้องประกันว่าการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการไว้ทรงผมของนักเรียนจะต้องไม่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ การเคารพในวัฒนธรรมที่หลากหลาย เช่น เพศสภาพ กลุ่มศาสนาหรือวัฒนธรรมส่วนน้อยในท้องถิ่น นอกจากนี้ การกำหนดแบบทรงผมของนักเรียนต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมและคำนึงถึงสิทธิของเด็กที่จะได้รับการรับฟังและมีส่วนร่วมตัดสินใจในบรรดาหลักเกณฑ์หรือนโยบายต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเด็กด้วย

            ประการที่สาม ข้อพิจารณาเกี่ยวกับการใช้มาตรการบังคับให้นักเรียนกระทำตามแบบทรงผม ปรากฏว่า กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงในสถานศึกษากรณีฝ่าฝืนการไว้ทรงผมนักเรียนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกระทำให้อับอาย การตัดผมของนักเรียนโดยพลการ รวมถึงการลงโทษโดยการใช้ความรุนแรงทางกายภาพ โดยเห็นว่า ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 เป็นหลักเกณฑ์ที่มีขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของนักเรียนหรือนักศึกษา ซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการควบคุมกำกับการประพฤติตนของนักเรียนและนักศึกษา มิได้รวมถึงการแต่งกาย อันได้แก่ การไว้ทรงผม การไว้หนวดเครา การย้อมสีผม ดัดผม จึงไม่อาจนำระเบียบดังกล่าว มาใช้บังคับกับนักเรียนที่ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการไว้ทรงผมได้ ดังนั้น หากนักเรียนผู้รับคำสั่งฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้ตัดผม บุคลากรทางการศึกษาย่อมไม่มีอำนาจกระทำการในทางใดที่จะบังคับเอากับตัวนักเรียนได้ทั้งทางตรง เช่น การบังคับตัดผม กล้อนผม หรือการบังคับทางอ้อม เช่น การให้บุคคลหรือหน่วยงานอื่นมาตัดผมให้ ทั้งนี้ การสั่งการให้นักเรียนปฏิบัติตามจะต้องเป็นการสร้างความเข้าใจที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก โดยการพูดคุยกับเด็กหรือผู้ปกครอง ซึ่งมิใช่มาตรการลงโทษ แต่เป็นไปเพื่อการสร้างความเข้าใจที่เกิดจากการมีส่วนร่วม

            ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ 

            (1) ให้กระทรวงศึกษาธิการแจ้งให้สถานศึกษาในสังกัดถือปฏิบัติว่ากระทรวงศึกษาธิการและสถานศึกษาไม่มีอำนาจกำหนดแบบทรงผมของนักเรียนไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ทั้งต้องมีมาตรการว่า หากมีความจำเป็นต้องสั่งการให้นักเรียนตัดผมหรือไว้ทรงผมในกรณีใดจะต้องปรากฏความจำเป็นเพื่อการรักษาสุขอนามัย หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของตนเองหรือผู้อื่นเท่านั้น ทั้งนี้ ระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนของสถานศึกษาจะต้องเกิดจากการรับฟังความเห็นของนักเรียนโดยมุ่งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของนักเรียนเป็นสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการคุ้มครองสิทธิของเด็ก 

          (2) ให้คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงศึกษาธิการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 หมวด 7 การส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา ให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งกายโดยเฉพาะเรื่องทรงผมของนักเรียนว่าจะต้องมีขึ้นได้แต่โดยเหตุผลอันสมควรเท่านั้น และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตรากฎกระทรวงฉบับใหม่ที่เป็นมาตรฐานกลางในการออกระเบียบ หรือข้อกำหนดของสถานศึกษาเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียน กฎกระทรวงเกี่ยวกับมาตรการบังคับให้เป็นไปตามระเบียบหรือกฎว่าด้วยทรงผมนักเรียนของแต่ละสถานศึกษา และกฎกระทรวงว่าด้วยวิธีการรับฟังความเห็นของนักเรียนและนักศึกษาโดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของนักเรียนและผู้ปกครองเป็นสำคัญ

 

 

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

31 พฤษภาคม 2567  

ไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เลื่อนขึ้นด้านบน