เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมพลโทพระยาศัล วิธานนิเทศ ชั้น 3 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ผศ. สุชาติ  เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยนางสาวหรรษา  หอมหวล เลขาธิการ กสม. นายพราหมณ์  นิยะบุตร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ และเจ้าหน้าที่กลุ่มงานวิจัยและวิชาการสิทธิมนุษยชน สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สำนักงาน กสม.) ประชุมร่วมกับ ดร.วิภารัตน์  ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และคณะ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยสิทธิมนุษยชน

          ในการนี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้แลกเปลี่ยนความคาดหวังและแนวทางความร่วมมือระหว่างสำนักงาน กสม. กับ วช. โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีงานวิจัยที่มีคุณภาพเพื่อสนับสนุนภารกิจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ทั้งในด้านการส่งเสริม คุ้มครอง เฝ้าระวังสถานการณ์สิทธิมนุษยชน และการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะใน 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) สิทธิในสิ่งแวดล้อมและการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน 2) สิทธิในประชากรกลุ่มเฉพาะ เช่น ผู้สูงอายุ แรงงาน เด็ก และสตรี 3) สิทธิในอนาคตจากพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแนวคิดเรื่อง Human Rights City 4) สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสถานะบุคคล และ 5) การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม

          ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติได้แสดงความยินดีที่จะร่วมมือทางการวิจัยและวิชาการในประเด็นแผนงานวิจัยภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 2 การยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อมให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน สามารถแก้ไขปัญหาท้าทาย และปรับตัวได้ทันต่อพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่ง วช. เป็นเจ้าภาพ ในประเด็นที่ กสม. เสนอ โดยเฉพาะการวิจัยเพื่อพัฒนากฎหมายสำคัญ ๆ รวมถึงประเด็น Human Rights City และการพัฒนาเครื่องมือหรือระบบสารสนเทศเพื่อรองรับการทำงานของ กสม. รวมทั้งเสนอแนวทางการสนับสนุนงานวิจัยระหว่างสองหน่วยงานในหลากหลายรูปแบบ และที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันในการจัดตั้งคณะทำงานร่วม (working group) ระหว่างสำนักงาน กสม. และ วช. เพื่อพัฒนารายละเอียดแผนงานวิจัยร่วม และการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อเป็นกรอบในการทำงานร่วมกันในระยะยาว

.         สำหรับการประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความร่วมมือระหว่างสำนักงาน กสม. และ วช. ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนางานวิจัยด้านสิทธิมนุษยชนที่มีคุณภาพและสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ซึ่งจะช่วยยกระดับการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน และนำไปสู่การสร้างสังคมที่เคารพและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้นต่อไป