เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2566 ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุชาติ  เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายสุเรนทร์  ปะดุกา ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพื้นที่ภาคใต้ (สำนักงาน กสม.พื้นที่ภาคใต้) และเจ้าหน้าที่สำนักงานฯ ลงพื้นที่เพื่อหารือและประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีกล่าวอ้างว่า การทำประมงผิดกฎหมายในพื้นที่อ่าวปัตตานี ส่งผลกระทบต่อชาวประมงพื้นบ้านและระบบนิเวศ โดยมีรายละเอียดดังนี้
 
                วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะลงพื้นที่รับฟังข้อมูลและผลกระทบจากการทำประมงผิดกฎหมายในพื้นที่อ่าวปัตตานีจากประชาชนในพื้นที่ตำบลบานา อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี
 
                จากนั้นในวันที่ 1 ธันวาคม 2566 เวลา 09.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดปัตตานี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะ ได้เข้าพบ นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีเพื่อประสานและหารือเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยมีหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่ ประมงจังหวัดปัตตานี สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 9 (ปัตตานี) รวมทั้งผู้แทนสมาคมชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานี จากการหารือดังกล่าว ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่าการทำประมงผิดกฎหมายในพื้นที่อ่าวปัตตานีส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม และต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อป้องกันและปราบปรามไม่ให้มีการกระทำความผิดอีก และจะต้องสร้างความตระหนักถึงสิทธิในการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนรอบอ่าวปัตตานีควบคู่กันไปด้วย
 
                ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีมีความยินดีที่จะประสานความมือในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อไปในอนาคต และหากมีกรณีเกี่ยวกับการส่งเสริมและประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ให้ประสานเพื่อหารือกับผู้ว่าฯ ได้โดยตรง
 
                อนึ่ง จังหวัดปัตตานีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินการกรณีผลกระทบจากการทำประมงผิดกฎหมายเพื่อดูแลทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคใต้ จะได้นำข้อมูลเกี่ยวกับสภาพปัญหาและผลกระทบจากการทำประมงผิดกฎหมาย รวมทั้งข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาที่ได้จากการลงพื้นที่ครั้งนี้ ไปประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อไป