กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 4/2568 กสม. เตรียมทำข้อเสนอถึงรัฐบาลให้เร่งแก้ไขปัญหาและผลกระทบจากมลพิษด้านฝุ่นละอองในภาพรวม - ตรวจสอบกรณีผู้ต้องขังเสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช แนะกรมราชทัณฑ์ - สธ. พัฒนาระบบการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดต่อ

30/01/2568 120

            วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ และนางสาวสุภัทรา  นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 4/2568 โดยมีวาระสำคัญ ดังนี้ 

            1. กสม. เตรียมทำข้อเสนอถึงรัฐบาลให้เร่งแก้ไขปัญหาและผลกระทบจากมลพิษด้านฝุ่นละอองในภาพรวม

 

            นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ติดตามสถานการณ์ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดจากกิจกรรมและแหล่งกำเนิดมลพิษต่าง ๆ เช่น ภาคอุตสาหกรรม ยานพาหนะ การเผาในที่โล่งทั้งภายในประเทศและในประเทศข้างเคียง ประกอบกับสภาพภูมิอากาศบางช่วงมีความกดอากาศสูงและอากาศไม่ถ่ายเทส่งผลให้ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) หนาแน่นและสะสมในชั้นบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่กรุงเทพมหานคร พื้นที่ภาคเหนือ และอีกหลายพื้นที่ของประเทศมีรายงานค่าฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานและเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน

            ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ในปี 2567 ระบุว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาชนทั่วไปรวมถึงกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว กว่า 9.5 ล้านคน ได้รับผลกระทบด้วยโรคมลพิษทางอากาศ โรคที่พบมากคือ กลุ่มโรคทางเดินหายใจ กลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ กลุ่มโรคตาอักเสบ กลุ่มโรคหัวใจหลอดเลือดและสมองอุดตันขาดเลือด และในเดือนมกราคม 2568 มีรายงานการป่วยด้วยโรคมลพิษทางอากาศแล้วกว่า 1 แสนราย ซึ่งปรากฏตามรายงานสื่อมวลชนว่า ผู้ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะเด็กบางรายมีเลือดกำเดาไหลและไอเรื้อรัง

            แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อาทิ การห้ามเผาในที่โล่ง การตรวจจับยานพาหนะที่ปล่อยไอเสียเกินมาตรฐาน การเรียนออนไลน์ การทำงานที่บ้าน การสนับสนุนให้เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ การตรวจและแจ้งเตือนคุณภาพอากาศให้ประชาชนทราบ รวมถึงการเผยแพร่และสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับวิธีการป้องกันและลดมลพิษจากฝุ่น PM2.5 อย่างไรก็ดี ปัญหาฝุ่น PM2.5 มีความซับซ้อนและมีแหล่งกำเนิดมลพิษที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ มาตรการของรัฐบางส่วนไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องหรือดำเนินการเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์รุนแรงเท่านั้น ในขณะที่การบังคับใช้กฎหมายไม่มีความเข้มงวดจริงจัง จึงยังพบปัญหายานพาหนะปล่อยไอเสียหรือควันดำ การลักลอบเผาในที่โล่งหรือพื้นที่เกษตรกรรมยังคงเกิดขึ้นเป็นวงกว้างทั่วประเทศ ทำให้ในภาพรวมรัฐบาลยังไม่สามารถจัดการปัญหาได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

            ด้วยเหตุที่สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ดีต่อสุขภาพ และยั่งยืน (right to a clean, healthy and sustainable environment) ได้รับการรับรองว่าเป็นสิทธิมนุษยชนประการหนึ่ง เนื่องจากการปกป้องและคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศมีส่วนส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีและทำให้บุคคลได้รับสิทธิต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงสิทธิในชีวิต สิทธิที่จะมีสุขภาพที่ดี สิทธิที่จะมีมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ ในปี 2566 กสม. จึงได้เสนอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่นละอองในภาคเหนือเพื่อควบคุมปัญหาไฟป่าที่เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น โดยบูรณาการการทำงานและจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ ซึ่งมีการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ขณะที่ปี 2567 กสม. ได้ร่วมผลักดันให้มีกฎหมายอากาศสะอาด เพื่อคุ้มครองสิทธิทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายอยู่ระหว่างการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร 

            จากสภาพปัญหาและข้อท้าทายดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 จึงเห็นควรให้จัดทำข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลให้เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากมลพิษด้านฝุ่น PM 2.5 ในภาพรวมของประเทศ โดยนำหลักการด้านสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีและสิทธิในสุขภาพมาปรับใช้เพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชน รวมทั้งบังคับใช้มาตรการแก้ไขปัญหาแหล่งกำเนิดมลพิษและการป้องกันสุขภาพของประชาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานอย่างเคร่งครัด และกระจายอำนาจลงไปถึงหน่วยงานในระดับพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

 

            2. กสม. ตรวจสอบกรณีผู้ต้องขังเสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช แนะกรมราชทัณฑ์ - สธ. พัฒนาระบบการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดต่อในเรือนจำ

            นางสาวสุภัทรา  นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้หยิบยกกรณีการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ในช่วงเดือนเมษายน 2567 ซึ่งมีผู้ต้องขังติดเชื้อกว่า 3,000 คน และเสียชีวิต 2 คน ขึ้นพิจารณา โดยเบื้องต้นได้ประสานการช่วยเหลือไปยังกรมราชทัณฑ์ และทราบว่ากรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ โดย สปสช.ได้จัดสรรวัคซีนและฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ให้แก่ผู้ต้องขังทุกคนแล้ว แม้ต่อมาผู้ต้องขังที่ป่วยของเรือนจำฯ ได้รับการรักษาจนหายป่วยทั้งหมด แต่เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้ต้องขังเสียชีวิต อันอาจมีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงมีมติให้ตรวจสอบ

            กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนแล้วเห็นว่า ข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งองค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ข้อ 24 กำหนดให้การให้บริการด้านการรักษาพยาบาลแก่ผู้ต้องขังเป็นความรับผิดชอบของรัฐ โดยผู้ต้องขังควรได้รับการรักษาพยาบาลตามมาตรฐานเช่นเดียวกับที่รัฐจัดให้กับประชาชนอื่น และจะต้องสามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็นโดยไม่คิดมูลค่าและไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสถานภาพด้านกฎหมายของตน ส่วนการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่มีอาการป่วยนั้น พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 รวมทั้งมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการควบคุมผู้ต้องขัง วางหลักไว้ว่า ผู้ต้องขังย่อมมีสิทธิได้รับการตรวจจากแพทย์โดยเร็วและหากจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนอกเรือนจำที่ถูกควบคุมตัว จะต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์และต้องได้รับอนุญาตจากผู้บัญชาการเรือนจำก่อน

            จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อต้นเดือนเมษายน 2567 เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในเรือนจำฯ ผู้ต้องขังเริ่มมีอาการป่วยรายแรกในแดนสูทกรรมซึ่งรับผิดชอบงานแผนกปรุงอาหาร จากนั้นเริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคไปสู่แดนอื่น ๆ ผ่านการพูดคุยกันโดยไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย และมีปัจจัยเสริมให้เกิดการระบาดคือความหนาแน่นในห้องนอนของผู้ต้องขังเกือบทุกแดน โดยขณะเกิดเหตุเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชมีผู้ต้องขังทั้งหมด 4,699 คน พบว่าติดเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่จำนวน 3,485 คน มีผู้ป่วยอาการรุนแรง 37 คน เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล 45 คน และเสียชีวิต 2 คน กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า ตั้งแต่เรือนจำฯ พบผู้ต้องขังป่วย เจ้าหน้าที่ได้ตรวจหาโรคไข้หวัดใหญ่และ Covid-19 ทันที มีการแยกตัวผู้ต้องขังป่วยตามระดับ

            ส่วนการส่งตัวผู้ต้องขังออกไปรักษาภายนอกเรือนจำพบว่า ตั้งแต่เรือนจำฯ พบว่าผู้ต้องขังเริ่มมีอาการป่วย พยาบาลเรือนจำได้ดูแลอย่างต่อเนื่อง และให้ผู้ต้องขังได้พบแพทย์เพื่อประเมินอาการเบื้องต้น จากนั้นได้ส่งตัวออกไปรักษาพยาบาลทันทีเมื่อมีภาวะที่เกินศักยภาพของเรือนจำจะสามารถดูแลได้ สำหรับกรณีการเยียวยาผู้ต้องขังที่เสียชีวิตทั้งสองรายนั้น จากการตรวจสอบพบว่า กรมราชทัณฑ์ได้ตรากฎกระทรวงการรับเงินทำขวัญของผู้ต้องขังซึ่งบาดเจ็บ เจ็บป่วย หรือตาย จากการทำงาน พ.ศ. 2563 ซึ่งกำหนดให้การเยียวยากระทำได้เฉพาะผู้ต้องขังที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติงานให้กับเรือนจำเท่านั้น แต่หากเป็นกรณีเสียชีวิตด้วยอาการป่วยหรือตายด้วยสาเหตุอื่นนอกจากการทำงาน ญาติของผู้เสียชีวิตจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อพิสูจน์ต่อไปว่าการเสียชีวิตดังกล่าวเกิดจากความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่หรือไม่ อีกทั้งยังไม่ปรากฏพฤติการณ์ที่สามารถยืนยันได้ว่าการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของเรือนจำฯ 

            เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วจึงเห็นว่า เรือนจำฯ ได้พยายามควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่และรักษาพยาบาลผู้ต้องขังภายใต้ข้อจำกัดที่มีขณะนั้นแล้ว และไม่ได้ละเลยต่อการเยียวยาให้แก่ผู้ต้องขังที่เสียชีวิตทั้งสองรายแต่อย่างใด ในชั้นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า เรือนจำฯ ได้กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องขังเสียชีวิต 

            อย่างไรก็ดี กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 ได้มีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังกรมราชทัณฑ์และกระทรวงสาธารณสุข ให้ร่วมกันพัฒนาระบบการเฝ้าระวังโรคติดต่อในเรือนจำในลักษณะเดียวกันนี้ เพื่อป้องกันและแก้ไขกรณีมีโรคติดต่อแพร่ระบาดที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งให้จัดเตรียมชุดตรวจหาโรคติดต่อ วัคซีน และหน้ากากอนามัยสำหรับผู้ต้องขังอย่างเพียงพอและสอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคในแต่ละปี และให้ร่วมกันอบรมเจ้าหน้าที่ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ และวิธีการป้องกันในเบื้องต้นอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งกำชับเจ้าหน้าที่ประจำสถานพยาบาลของเรือนจำทุกแห่งให้บันทึกสัญญาณชีพของผู้ป่วยทุกรายโดยละเอียดเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์อาการของผู้ป่วยเมื่อต้องส่งผู้ป่วยออกไปรักษาภายนอกเรือนจำ 

            นอกจากนี้ ให้กรมราชทัณฑ์ส่งรายงานกรณีการเสียชีวิตของผู้ต้องขังทั้งสองให้แก่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข เพื่อพิจารณาให้เงินช่วยเหลือตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 41 และให้แจ้งเรือนจำและทัณฑสถานทุกแห่งแจ้งสิทธิ ให้ความช่วยเหลือหรืออำนวยความสะดวกแก่ผู้ต้องขังหรือทายาท แล้วแต่กรณี เพื่อให้เข้าถึงสิทธิดังกล่าวด้วย

 

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

30 มกราคม 2568

 

ไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เลื่อนขึ้นด้านบน