วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และผู้ช่วยศาสตราจารย์สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 5/2568 โดยมีวาระสำคัญ ดังนี้
1. กสม. ชี้กรณี สน.ชนะสงคราม จัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเยาวชนนักกิจกรรมเป็นการแทรกแซงสิทธิเกินสมควรแก่เหตุ แนะ ตร. ยกเลิกการจัดทำบัญชีบุคคลเฝ้าระวังด้วยเหตุแสดงออกทางการเมือง

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเยาวชนนักกิจกรรมรายหนึ่งเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ระบุว่า ตนเองและครอบครัวมีชื่ออยู่ในกลุ่มบุคคลเฝ้าระวัง ระดับแดง (บุคคลเฝ้าระวังพิเศษ)โดยปรากฏในเอกสารของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม (สน.ชนะสงคราม) ผู้ถูกร้อง ที่นำเสนอข้อมูลต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งในขณะที่ผู้ถูกร้องจัดทำบัญชีเฝ้าระวังนั้น ผู้ร้องมีอายุเพียง 16 ปี ข้อมูลที่ถูกบันทึกประกอบด้วยข้อมูลการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเดินทางออกจากที่พัก การใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกประเด็นการศึกษา สิทธิเด็ก สิทธิในการประกันตัว สิทธิสตรี สิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อมูลส่วนบุคคลของบิดา มารดา และญาติของผู้ร้อง เกี่ยวกับข้อมูลประกันสังคม ประวัติการทำงาน ยานพาหนะ ทัศนคติทางการเมือง ซึ่งเป็นการกระทำที่ผู้ร้องเห็นว่ากระทบต่อสิทธิมนุษยชน จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 32 ให้การรับรองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว และมาตรา 34 ได้ให้การรับรอง เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น ซึ่งการกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิหรือเสรีภาพดังกล่าวไม่ว่าในทางใด ๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จําเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน ประกอบกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม ให้การรับรองสิทธิและเสรีภาพดังเช่นว่านี้ที่จะไม่ถูกแทรกแซงความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีเช่นกัน กำหนดให้รัฐภาคีต้องประกันเสรีภาพแก่เด็กที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นของตนเองโดยเสรีในทุก ๆ เรื่องที่มีผลกระทบต่อเด็ก และต้องประกันว่าจะไม่มีเด็กคนใดถูกลิดรอนเสรีภาพโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งให้คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ ซึ่งหลักการดังกล่าวปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ด้วย
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การขึ้นบัญชีผู้ร้องและครอบครัวเป็นบุคคลเฝ้าระวัง ปรากฏตามเอกสารที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ได้เสนอต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อใช้ประกอบคำให้การพิจารณาคดีระหว่างผู้ร้องซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์ และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งในสังกัด สน. ชนะสงคราม เรื่อง ความผิดต่อเสรีภาพ ลหุโทษ อันเป็นข้อมูลที่จัดทำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการสืบสวน 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ประกอบด้วยข้อมูลการใช้ชีวิตประจำวัน ข้อมูลประกันสังคม ประวัติการทำงาน ยานพาหนะ และทัศนคติทางการเมือง นอกจากนี้ ยังมีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของนักกิจกรรมทางการเมืองในลักษณะเดียวกันอีก 19 คน โดยอาศัยอำนาจ ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 6 ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นตั้งแต่ปี 2563 เนื่องจากเยาวชนผู้ร้องเคยเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมทางการเมือง ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ต้องติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมถึงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลการชุมนุมสาธารณะทราบถึงข้อมูลเบื้องต้นของผู้ชุมนุมเพื่อป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
กสม. เห็นว่าการที่กองกำกับการสืบสวน 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล จัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ร้องและครอบครัว อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 6 (3) ซึ่งเป็นเพียงอำนาจทั่วไปของหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย ขณะที่รัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ให้การรับรองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว รวมทั้งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หน่วยงานของรัฐจะกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิหรือเสรีภาพดังกล่าวไม่ว่าในทางใด ๆ มิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จําเป็น เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และจะต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะและกำหนดหลักการไว้อย่างชัดแจ้ง ดังเช่น พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 แต่พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 และพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ไม่ได้บัญญัติให้ ตร. มีอำนาจในการจัดทำบัญชีเฝ้าระวังบุคคลแต่อย่างใด ดังนั้น การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในกรณีดังกล่าวนี้จึงไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะในลักษณะรับรองการกระทำ เช่น “จัดทำบัญชี” “การติดตามบุคคลตามบัญชี” รวมทั้งไม่ปรากฏหลักเกณฑ์และมาตรฐานในการกำกับการปฏิบัติงานที่รัดกุมเพียงพอไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการกำหนดลักษณะของบุคคลที่ต้องเฝ้าระวัง หรือวิธีปฏิบัติในการติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคล
นอกจากนี้ การที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลกล่าวอ้างว่า การจัดเก็บข้อมูลบุคคลเฝ้าระวังอาศัยอำนาจตามมาตรา 24 (1) (6) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 นั้น เห็นว่า บทบัญญัติของกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานของรัฐ “เปิดเผย” ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลต่อหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นหรือผู้อื่นโดยปราศจากความยินยอมได้ในกรณีที่เป็นการเปิดเผยต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานของตนตามหน้าที่และอำนาจ หรือเป็นการเปิดเผยเพื่อป้องกันการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย การสืบสวน การสอบสวน และการฟ้องคดีเท่านั้น แต่การจัดทำบัญชีบุคคลเฝ้าระวังของกองบัญชาการตำรวจนครบาลดังกล่าว มีลักษณะเป็น “การเก็บรวบรวม (Collection) ใช้ (Use)” ไม่ใช่ “การเปิดเผย” ดังนั้น จึงไม่สามารถอ้างข้อยกเว้นตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ. 2540 ได้
และการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ผู้ถูกร้อง นำเอกสารการขึ้นบัญชีบุคคลเฝ้าระวังของผู้ร้องและครอบครัว ซึ่งจัดทำโดยกองกำกับการสืบสวน 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาลไปใช้ต่อหน่วยงานภายนอก ยังเป็นการ “เปิดเผยข้อมูล” โดยที่ผู้ร้องและครอบครัวไม่ได้ให้ความยินยอม และเป็นการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการติดตามผู้ร้องและครอบครัว รวมถึงนำข้อมูลมาใช้เป็นพยานหลักฐานต่อศาล การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐมุ่งเน้นการป้องกันการกระทำผิด โดยแทรกแซงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ ทั้งที่หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ให้หลักประกันสิทธิและเสรีภาพ รวมทั้งรักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างความมั่นคงของรัฐกับการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชน กรณีตามคำร้องนี้จึงมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้ กสม. เห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา แม้มีความสำคัญต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน แต่การใช้หน้าที่และอำนาจดังกล่าวโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน จะต้องเป็นไปตามกรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และอยู่ภายใต้หลักการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 อีกทั้งจะต้องเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน โดยต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนควบคู่ไปด้วย
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติให้มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ผู้ถูกร้อง และกองกำกับการสืบสวน 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมสั่งการเน้นย้ำและกำชับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ในสังกัดว่า ในการกำหนดมาตรการหรือวิธีการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมหรือการรักษาความปลอดภัย จะต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนควบคู่ไปด้วย อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการจำกัดหรือแทรกแซงสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลจะต้องมีฐานของกฎหมายให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะและเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน ทั้งนี้ให้ยกเลิกการจัดทำบัญชีบุคคลหรือปฏิบัติการในลักษณะเฝ้าระวังและติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคล เพียงเพราะบุคคลดังกล่าวนั้นแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกทางการเมืองด้วย
2. กสม. ตรวจสอบโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แนะ กกพ. กำกับดูแลกิจการขนาดเล็กให้ดำเนินการโดยประชาชนมีส่วนร่วม ป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม

ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับฟังความคิดเห็นเครือข่ายองค์กรทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีข้อห่วงกังวลว่าโครงการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน ประกอบกับ กสม. ได้ศึกษานโยบายของรัฐบาลในโครงการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ซึ่งมีศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ และเห็นว่านโยบายดังกล่าวอาจมีประเด็นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม กสม. เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 จึงมีมติให้หยิบยกกรณีข้างต้นขึ้นตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 43 ได้รับรองสิทธิของบุคคลและชุมชนในการมีส่วนร่วมในการจัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งในการเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐให้ดำเนินการใดอันจะเป็นประโยชน์หรืองดเว้นการดำเนินการใดอันจะกระทบต่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุขของประชาชนหรือชุมชน และหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs) ได้กำหนดหน้าที่ของภาครัฐและความรับผิดชอบของภาคธุรกิจในการดำเนินกิจการ ภายใต้หลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เคารพสิทธิมนุษยชน และเยียวยาผลกระทบ โดยเห็นว่ากรณีดังกล่าว มีประเด็นต้องพิจารณา 2 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาพลังงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล เห็นว่า โครงการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เชื่อมโยงกับการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งระบบตั้งแต่การส่งเสริมการปลูกพืชพลังงาน การแปรรูปผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมให้ประชาชน วิสาหกิจชุมชน รวมกลุ่มร่วมลงทุนในกิจการพลังงานของรัฐ ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ปรากฏว่า โครงการฯ ยังอยู่ระหว่างการเตรียมการ มีเพียงกิจกรรมส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีเกษตรกรปลูกพืชพลังงานนำร่อง 10,000 ไร่ แต่ยังไม่ได้ประชาสัมพันธ์รายละเอียดโครงการทั้งหมดให้ประชาชนทราบ จึงยังไม่เข้าสู่กระบวนการขั้นตอนการมีส่วนร่วมของประชาชน อย่างไรก็ดี พบว่า โครงการมีวัตถุประสงค์และแนวทางดำเนินการสอดคล้องกับแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน พ.ศ. 2566 – 2570 ซึ่งมุ่งเน้นการผลิตพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน ที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น เช่น แสงอาทิตย์ ลม แหล่งน้ำ และชีวมวลจากภาคเกษตรกรรมและพืชอื่น ๆ และสอดคล้องตามรายงานโครงการประเมินการพัฒนาที่ยั่งยืนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment: SEA) กรณียุทธศาสตร์พลังงานภาคใต้ รวมทั้งแนวทางการพัฒนาไฟฟ้าของประเทศ
ส่วนกรณีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กมาก ในพื้นที่ตำบลปะแต อำเภอยะหา จังหวัดยะลา จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เป็นการดำเนินการภายใต้โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก 2 โครงการ กำลังการผลิต 3 เมกะวัตต์ และ 6 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างขั้นตอนการรับฟังความเห็นจากประชาชน โดยยังไม่สามารถจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 ให้แล้วเสร็จได้ เนื่องจากประชาชนที่เข้าร่วมส่วนใหญ่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น และยังไม่ดำเนินการให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอีกครั้ง ในประเด็นการมีส่วนร่วมของประชาชนนี้ จึงยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่า มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ประเด็นที่สอง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมขน จากการตรวจสอบปรากฏว่า ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีทั้งหมด 16 ราย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ที่มีโรงไฟฟ้าชีวมวลตั้งอยู่ ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมหรือปัญหามลพิษจากโรงไฟฟ้าต่อประชาชนอย่างชัดเจน แต่แจ้งว่า โรงไฟฟ้าได้ปฏิบัติตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) รวมทั้งได้ให้ความช่วยเหลือชุมชนในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ดี พบว่าโรงไฟฟ้าบางแห่งก่อปัญหามลพิษ เช่น ฝุ่นละออง ขี้เถ้า และเสียงรบกวนจากการประกอบกิจการบ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นรบกวนความเป็นอยู่ตามปกติแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี กสม. เห็นว่า การประกอบกิจการโรงไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กหรือเล็กมาก หากไม่มีกระบวนการจัดการที่ดีจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน การกำหนดให้ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้ากำลังการผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ได้รับยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ต้องกำกับและติดตามให้เจ้าของโครงการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่กำหนดไว้ตามประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice: CoP) ของ กกพ. อย่างเคร่งครัดด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่โดยรอบโรงไฟฟ้า
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
(1) ให้ กกพ. เร่งรัดไปยังบริษัทเอกชนผู้ประกอบกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กมาก ในพื้นที่ตำบลปะแต อำเภอยะหา จังหวัดยะลา ให้ชี้แจงประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการให้ประชาชนทราบ และจัดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงอีกครั้ง โดยให้ส่งหนังสือประชาสัมพันธ์การจัดเวทีรับฟังความเห็นไปยังประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รอบโครงการรัศมี 3 กิโลเมตร และให้กำกับและติดตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาตามรายงาน CoP รวมทั้งกำกับดูแลอย่างเคร่งครัดให้ผู้พัฒนาโครงการจัดทำรายงานการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) ทุกโครงการที่จะขออนุมัติ เพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกอบกิจการโดยเคารพสิทธิมนุษยชนตามหลักการ UNGPs
(2) ให้ ศอ.บต. ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ชุมชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ร่วมกันดำเนินโครงการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้มีการประเมินศักยภาพพื้นที่ ทั้งนี้ ให้นำรายงาน SEA กรณียุทธศาสตร์พลังงานภาคใต้ มาประกอบการพิจารณาดังกล่าว
(3) ให้ อปท. และชุมชนร่วมเฝ้าระวัง รวมทั้งให้กำกับเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้เงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 อย่างเคร่งครัด โดยกำหนดให้การใช้เงินกองทุนต้องเป็นไปเพื่อการป้องกัน เฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้ามากกว่าร้อยละ 50 ตลอดจนมีกลไกการติดตามให้การใช้เงินกองทุนเป็นไปตามข้อกำหนดข้างต้น
(4) ให้ อปท. ในพื้นที่ที่มีการประกอบกิจการโรงไฟฟ้ากำหนดโครงการเกี่ยวกับการป้องกัน เฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอนามัยของประชาชน ไว้ในแผนพัฒนาตำบล เพื่อให้การใช้เงินทุนพัฒนาไฟฟ้าของท้องถิ่นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้เงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550
(5) ให้บริษัทผู้ประกอบกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กในพื้นที่ตำบลคู อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา จัดทำรายงานการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) และทบทวนปรับปรุงรายงานดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ตามหลักการ UNGPs เพื่อป้องกันการเกิดผลกระทบต่อชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และแรงงาน ซึ่งเป็นการประกอบธุรกิจโดยเคารพสิทธิมนุษยชน
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
7 กุมภาพันธ์ 2568