กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 3/2568 กสม. ตรวจสอบกรณีประชาชน จ.ชัยภูมิ ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า แนะกรมอุทยานฯ ชะลอการรื้อถอนขับไล่จนกว่าจะแก้ไขปัญหาแล้วเสร็จ - หารือจุฬาราชมนตรีหลังมีหนังสือถึงนายกฯ แจ้งข้อกังวลกรณีข่าวเตรียมส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน

24/01/2568 37

            วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2567 เวลา 10.00 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ และผู้ช่วยศาสตราจารย์สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 3/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้

            1. กสม. ตรวจสอบกรณีประชาชนบ้านซับหวาย อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า แนะกรมอุทยานฯ ชะลอการรื้อถอนขับไล่จนกว่าจะแก้ไขปัญหาแล้วเสร็จ

           นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนมีนาคม 2567 จากผู้ร้องรายหนึ่งระบุว่า ผู้ร้องและประชาชนบ้านซับหวาย ตำบลห้วยแย้ อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ รวม 14 คน ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่าตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 64/2557 โดยเมื่อปี 2559 ประชาชนกลุ่มดังกล่าวถูกจับกุมดำเนินคดีในความผิดฐานบุกรุกอุทยานแห่งชาติไทรทอง และต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ ผู้ร้องเห็นว่าประชาชนทั้ง 14 ราย เป็นผู้ที่ทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติไทรทองมาก่อนการประกาศนโยบายทวงคืนผืนป่า และเป็นผู้ยากไร้ มีรายได้น้อย และไร้ที่ดินทำกินที่ต้องได้รับการยกเว้นจากการบังคับตามนโยบายทวงคืนผืนป่า ซึ่งหากประชาชนทั้ง 14 ราย ต้องถูกขับไล่ออกจากที่ดินโดยไม่มีพื้นที่ทำกินอื่นรองรับ ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต จึงขอให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และอุทยานแห่งชาติไทรทอง ผู้ถูกร้องทั้งสอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดสรรที่ดินทำกินให้กับประชาชนทั้ง 14 ราย และให้เร่งรัดการสำรวจการถือครองที่ดินในเขตป่าอนุรักษ์ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ในแปลงที่ดินของผู้ร้องที่ยังตกหล่น

           กรณีตามคำร้อง เบื้องต้น กสม. ได้ประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเพื่อแก้ไขปัญหาเป็นการเร่งด่วนไปยังหน่วยงานผู้ถูกร้องทั้งสอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทั่งเดือนมิถุนายน 2567 เห็นว่า ผู้ร้องและประชาชนในหมู่บ้านซับหวายทั้ง 14 ราย ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาและเยียวยาผลกระทบ จึงมีมติรับไว้เป็นเรื่องตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน

           กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า กรณีดังกล่าวมีประเด็นพิจารณาสองประเด็น ดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และอุทยานแห่งชาติไทรทอง ผู้ถูกร้องทั้งสองได้กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีประชาชนได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า และไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยา หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อปี 2535 มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติไทรทอง ผู้ร้องกับประชาชนทั้ง 14 ราย เป็นผู้ที่ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบริเวณบ้านซับหวาย ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรทองมาก่อน ต่อมาปี 2546 ปี 2549 ปี 2553 และปี 2556 อุทยานฯ ได้สำรวจการถือครองและทำประโยชน์ในที่ดินในเขตอุทยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 แต่ไม่มีรายชื่อผู้ร้องเป็นผู้ได้รับการสำรวจ และเมื่อปี 2558 อุทยานฯ ได้ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าตามคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 โดยเข้าขอคืนพื้นที่และให้ผู้ร้องกับประชาชนทั้ง 14 ราย ออกจากพื้นที่อุทยานฯ แต่ผู้ร้องและประชาชนยังคงเข้าไปทำกินในพื้นที่เดิม จึงถูกฟ้องดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ ผู้ร้องและประชาชนทั้ง 14 ราย จึงร้องทุกข์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้รับข้อยกเว้นจากการบังคับใช้กฎหมายตามนโยบายทวงคืนผืนป่าเนื่องจากเป็นผู้ยากไร้ มีรายได้น้อย ไร้ที่ดินทำกิน และไม่เข้าข่ายเป็นนายทุน อันเข้าเงื่อนไขตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ต่อมาเมื่อปี 2564 ศาลฎีกามีคำพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ รวมทั้งให้ชดใช้ค่าเสียหาย และให้ผู้ร้องกับประชาชนทั้ง 14 ราย รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ แต่ผู้ร้องยังคงทำกินในพื้นที่เดิม และปรากฎว่ายังไม่มีที่ดินที่จะนำมาจัดสรรทดแทนให้ได้

           กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้การเข้าขอคืนพื้นที่และร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้จับกุมดำเนินคดีกับผู้ร้องและประชาชนทั้ง 14 ราย ในข้อหาบุกรุก พื้นที่อุทยานฯ ของอุทยานแห่งชาติไทรทอง (ผู้ถูกร้องที่ 2) เมื่อปี 2558 – 2559 จะเป็นการดำเนินการตามนโยบายทวงคืนผืนป่าตามคำสั่ง คสช. แต่จากการตรวจสอบพบว่า ก่อนการดำเนินการ อุทยานฯ ไม่ได้ตรวจสอบว่าผู้ร้องกับประชาชนทั้ง 14 ราย เข้าข่ายเป็นผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 หรือไม่ ซึ่งหากผู้ถูกร้องที่ 2 ได้ตรวจสอบก็จะพบว่า ผู้ร้องกับพวกทั้ง 14 ราย มีลักษณะเป็นผู้ยากไร้ มีรายได้น้อย และไร้ที่ดินทำกิน ดังเช่นที่คณะกรรมการและคณะทำงานพิจารณาความเป็นผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกินฯ ที่แต่งตั้งขึ้นตามคำสั่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดชัยภูมิ ที่ 120/2562 ลงวันที่ 26 กันยายน 2562 ได้ตรวจสอบพบว่า ผู้ร้องและประชาชนทั้ง 14 ราย เป็นผู้ยากไร้ที่ไม่เข้าข่ายเป็นนายทุน การดำเนินการใด ๆ ของอุทยานฯ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าว ดังนั้น จึงเห็นว่าการขอคืนพื้นที่และร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้จับกุมดำเนินคดีกับผู้ร้องและประชาชนทั้ง 14 ราย โดยไม่ตรวจสอบคุณสมบัติก่อนการดำเนินการ เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรม และเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

           ประเด็นที่สอง กรณีหน่วยงานผู้ถูกร้องทั้งสองไม่สำรวจการถือครองที่ดินตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ให้กับผู้ร้อง จากการตรวจสอบปรากฏว่า ผู้ร้อง และครอบครัวได้ครอบครองและทำกินในที่ดินรวม 3 แปลง ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรทอง ต่อมาเมื่อพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ใช้บังคับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (ผู้ถูกร้องที่ 1) ได้แจ้งให้ประชาชนที่ถือครองที่ดินในเขตอุทยานฯ แจ้งการถือครองที่ดิน เพื่อดำเนินการสำรวจการถือครองที่ดินตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติข้างต้น เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ผู้ร้องและครอบครัว จึงแจ้งสำรวจการถือครองที่ดินต่ออุทยานแห่งชาติไทรทอง (ผู้ถูกร้องที่ 2) และอุทยานฯ ได้ตรวจสอบแปลงที่ดินดังกล่าว โดยพบว่าเป็นพื้นที่เดียวกันกับที่อุทยานฯ เคยขอคืนพื้นที่ ซึ่งผู้ร้องได้ลงชื่อให้ความยินยอมคืนพื้นที่ไว้แล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม 2558 กรมอุทยานฯ จึงไม่ได้นำพื้นที่บริเวณดังกล่าวมาสำรวจการถือครองที่ดิน โดยระบุว่าเป็นไปตามแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561

            อย่างไรก็ดี กสม. เห็นว่า การสำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนที่อยู่อาศัยหรือทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ซึ่งกรมอุทยานฯ กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ ห้ามมิให้อุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งสำรวจการถือครองที่ดินให้กับแปลงที่ขอคืนพื้นที่ โดยอ้างมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 นั้น เป็นการกำหนดเงื่อนไขเกินขอบเขตที่มติ ครม. กำหนด เนื่องจากมติ ครม. ดังกล่าวมิได้กำหนดข้อจำกัดสิทธิในการได้รับการสำรวจการถือครองที่ดิน ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่าการขอคืนพื้นที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2558 ซึ่งเป็นช่วงที่อุทยานฯ ใช้มาตรการทวงคืนผืนป่าตามคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 โดยไม่ได้ตรวจสอบว่าผู้ร้องได้รับการยกเว้นตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 หรือไม่ รวมทั้งมีข้อโต้แย้งว่าการขอคืนพื้นที่ดังกล่าวเป็นไปโดยไม่สมัครใจเนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่ข่มขู่ให้คืนพื้นที่ และภายหลังจากที่ลงชื่อคืนพื้นที่แล้ว ผู้ร้องและครอบครัวยังคงทำกินในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง การกำหนดเงื่อนไขเช่นนี้ทำให้ผู้ร้องและครอบครัวไม่ได้เข้าสู่ระบบการสำรวจการถือครองที่ดิน ปิดโอกาสในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน การกระทำของกรมอุทยานฯ ในการกำหนดแนวปฏิบัติสำรวจที่ดินดังกล่าวและการกระทำของอุทยานฯ ที่ปฏิบัติตามแนวปฏิบัตินี้จึงเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ร้อง

           ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และอุทยานแห่งชาติไทรทอง ผู้ถูกร้องทั้งสอง ให้ชะลอการรื้อถอนหรือขับไล่ประชาชนทั้ง 14 ราย ออกจากที่ดินทำกินเดิม จนกว่าการแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าวจะแล้วเสร็จ และให้ร่วมกับจังหวัดชัยภูมิและสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) จัดหาที่ดินเพื่อรองรับการอพยพผู้ร้องกับประชาชนทั้ง 14 ราย ที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยหรือที่ดินทำกินหรือไม่เพียงพอ

            นอกจากนี้ ให้กรมอุทยานฯ แก้ไขปรับปรุงแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ที่กำหนดห้ามมิให้อุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งสำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนในพื้นที่ที่ถูกขอคืน โดยแก้ไขปรับปรุงให้ผู้ที่อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ได้คืนพื้นที่ไปแล้ว แต่ในข้อเท็จจริงบุคคลผู้นั้นยังคงอยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่เดิมมาอย่างต่อเนื่อง ให้สามารถได้รับการสำรวจการถือครองที่ดินตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2542

 

                2. กสม. หารือจุฬาราชมนตรีหลังมีหนังสือถึงนายกฯ แจ้งข้อห่วงกังวลกรณีข่าวเตรียมส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทาง

             ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุชาติ  เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 ได้เข้าพบหารือกับนายอรุณ  บุญชม จุฬาราชมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ณ สำนักจุฬาราชมนตรี กรณีมีข่าวจะมีการส่งผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ที่ถูกจับในข้อหาเดินทางเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย และถูกกักตัวไว้นานกว่า 10 ปี กลับประเทศต้นทาง โดยตนเองได้เล่าว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ติดตามสถานการณ์ปัญหาของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2566 กสม. เคยมีข้อเสนอแนะให้สภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หามาตรการหรือแนวทางที่เป็นรูปธรรม รวมถึงกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนในการส่งตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ที่อยู่ในความดูแลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ไปยังประเทศที่สามที่มีความปลอดภัยต่อชีวิต และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 กสม. ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีแจ้งข้อเสนอแนะในการปฏิบัติต่อผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ ให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งข้อเสนอแนะของ กสม. หลายประการได้รับการตอบสนองในทางที่ดีต่อคุณภาพชีวิตของผู้ต้องกักได้แก่ การอนุญาตให้แพทย์จากทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้เข้าตรวจร่างกายผู้ต้องกักอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ การอนุญาตให้ผู้ต้องกักติดต่อสื่อสารกับญาติของผู้ต้องกักในต่างประเทศด้วยช่องทางที่เหมาะสมได้ การอนุญาตให้ทางสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรีนำอาหารจากภายนอกเข้าไปเลี้ยงผู้ต้องกัก และจัดให้มีการละหมาดวันศุกร์ร่วมกัน รวมถึงการพิจารณาหาสถานที่ใหม่ในการควบคุมตัวเพื่อแก้ปัญหาความแออัด

               อย่างไรก็ตาม ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายภาคส่วนทั้งองค์กรภาคประชาสังคม องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ สื่อมวลชน และสถานทูตต่างประเทศในประเทศไทย ได้แสดงความห่วงกังวลมายัง กสม. ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีมีกำหนดจะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในเร็ว ๆ นี้ ว่าอาจมีวาระหารือเรื่องการขอให้ส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทาง ดังนั้น ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงได้มีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 17 มกราคม 2568 ถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งข้อห่วงกังวลดังกล่าวแล้ว

              ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุชาติ  เศรษฐมาลินี กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ทางประเทศมุสลิมภายใต้องค์การความร่วมมืออิสลาม (Organization of the Islamic Cooperation: OIC) ซึ่งมีประเทศสมาชิกทั้งหมด 57 ประเทศ และมีหน่วยงานชื่อ คณะกรรมาธิการอิสระถาวรว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (OIC Independent Permanent Human Rights Commission: IPHRC) ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากรัฐบาลไทยไม่ส่งตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์กลับไปได้รับอันตราย และเลือกที่จะส่งตัวไปยังประเทศที่สามตามความสมัครใจแทน จะเกิดประโยชน์แก่ประเทศมากกว่า

              จากการหารือ ท่านจุฬาราชมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เห็นสอดคล้องกับทาง กสม. และรับที่จะสื่อสารกับทางรัฐบาลอีกทางหนึ่ง เพื่อช่วยกันรักษาผลประโยชน์และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก รวมถึงโลกมุสลิม โดยจะเร่งดำเนินการต่อไป

            สำหรับหนังสือด่วนที่สุด ที่นางสาวพรประไพ  กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ส่งถึงนายกรัฐมนตรี มีใจความสำคัญเน้นย้ำให้รัฐบาลไทยสร้างความเชื่อมั่นอย่างเร่งด่วนว่าประเทศไทยจะประกันความปลอดภัยของชาวอุยกูร์ เนื่องจากการส่งตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์กลับสาธารณรัฐประชาชนจีน อาจทำให้ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ได้รับอันตรายถึงชีวิต อันเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนที่ห้ามผลักดันบุคคลกลับไปสู่อันตราย (Non-refoulement) รวมถึงการถูกคุกคามด้วยสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สมาชิกภาพในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าทางสังคมหรือทางความคิดด้านการเมือง ทั้งการส่งกลับดังกล่าวยังขัดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 13 ที่ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้น จะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย และขัดต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม ได้แก่ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการกระทำอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT)

            นอกจากนี้ กสม. เห็นว่า หากมีการส่งชาวอุยกูร์กลับไปสู่อันตรายอันเป็นการละเมิดหลักการสิทธิมนุษยชนสากลที่สำคัญแล้ว ยังกระทบต่อความเชื่อมั่นของนานาชาติจากการที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council: HRC) วาระปี 2568 – 2570 มีผลกระทบต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้ากับต่างประเทศ ตลอดจนความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศมุสลิม สถานะของประเทศไทยในองค์การความร่วมมืออิสลาม และความพยายามของรัฐบาลในการแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย

 

 

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

24 มกราคม 2568

 

ไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เลื่อนขึ้นด้านบน