วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนางสาวหรรษา หอมหวล เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 8/2568 โดยมี 4 วาระสำคัญ ดังนี้
1. กสม. เผยผลการตรวจสอบกรณีสายการบินไม่จัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมอุปกรณ์การช่วยเหลือทุกท่าอากาศยาน

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่ง เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ระบุว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ชาวอิสราเอล อายุ 64 ปี (ผู้เสียหาย) มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรงต้องใช้เก้าอี้เข็นไฟฟ้า (wheelchair) ในการเคลื่อนที่ ได้เดินทางด้วยสายการบินแห่งหนึ่ง (ผู้ถูกร้อง) จากท่าอากาศยานดอนเมืองไปยังท่าอากาศยานเชียงใหม่ ก่อนเดินทางผู้เสียหายได้แจ้งให้ผู้ถูกร้องทราบถึงการใช้เก้าอี้เข็นไฟฟ้าโดยส่งข้อความทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้ถูกร้องได้รับทราบและแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการนำเก้าอี้เข็นไฟฟ้าและขนาดความจุแบตเตอรี่ขึ้นอากาศยานหรือเครื่องบินโดยสาร แต่ในวันเดินทางผู้เสียหายไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือ เมื่อถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่ ผู้เสียหายถูกขอให้ลงจากเครื่องทางบันได เนื่องจากเครื่องไม่ได้จอดที่สะพานเทียบ และไม่มีการจัดเตรียมรถลิฟต์ยกผู้โดยสาร เมื่อผู้เสียหายร้องขอรถลิฟต์ยกผู้โดยสาร ผู้ถูกร้องกลับแจ้งให้จ่ายค่าบริการทำให้ผู้เสียหายต้องลงจากเครื่องบินโดยสารทางบันได จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติให้คนพิการมีสิทธิเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ สวัสดิการ และความช่วยเหลือจากรัฐ ประกอบกับกฎกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. 2556 กำหนดให้อากาศยานขนส่งมีลิฟต์แบบแท่นยกสำหรับนำพาคนพิการหรือรถเข็นคนพิการขึ้นและลงจากอากาศยาน และประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง การคุ้มครองสิทธิของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินของไทยพ.ศ. 2553 กำหนดให้สายการบินให้บริการคนพิการหรือบุคคลที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เป็นกรณีพิเศษตามหลักปฏิบัติสากลและไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม
จากการตรวจสอบพบว่า สายการบินผู้ถูกร้องได้จัดหารถลิฟต์ยกผู้โดยสารตามที่ผู้เสียหายร้องขอแล้ว แต่เนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัยที่รถลิฟต์ยกผู้โดยสารประจำท่าอากาศยานเชียงใหม่ไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับเครื่องบินที่ผู้เสียหายโดยสาร ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถขอใช้บริการได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากเที่ยวบินมีความล่าช้าจากท่าอากาศยานต้นทางและการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการให้บริการรถลิฟต์ยกผู้โดยสาร อย่างไรก็ดี ผู้ถูกร้องได้ช่วยเหลือผู้เสียหายโดยการยกเก้าอี้เข็นไฟฟ้าลงจากเครื่องบินโดยสาร ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกแก่ผู้เสียหายแล้ว เช่นเดียวกับสายการบินอื่น ๆ ที่ให้บริการช่วยเหลือโดยการอุ้มผู้โดยสารคนพิการหรือยกเก้าอี้เข็นลงจากเครื่องทางบันได ซึ่งเป็นวิธีการช่วยเหลือตามมาตรฐานการบินสากลในกรณีไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือที่เหมาะสม เป็นการแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารเช่นเดียวกัน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม กสม. เห็นว่า ปัญหาข้อจำกัดการให้บริการรถลิฟต์ยกผู้โดยสารของสายการบินหรือท่าอากาศยานโดยเฉพาะสนามบินในภูมิภาคตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ปัญหาค่าบริการที่มีราคาแพงหรือไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ดำเนินการแต่ละรายจะกำหนดค่าบริการและต้นทุนในการจัดหาอุปกรณ์ ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านบำรุงรักษา หรือกรณีมีการปฏิเสธไม่ให้คนพิการเดินทางในเที่ยวบินนั้น ๆ ทำให้คนพิการไม่ได้รับความสะดวกและก่อให้เกิดภาระในการเดินทางอันอาจส่งผลให้มีการเลือกปฏิบัติและจำกัดสิทธิเสรีภาพในการเดินทางโดยสารด้วยเครื่องบินของคนพิการ โดยที่ผ่านมา กสม. ได้มีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกรณีสายการบินปฏิบัติต่อคนพิการไม่เหมาะสม จากการให้บริการรถลิฟต์ยกผู้โดยสาร โดยให้มีการปรับปรุงท่าอากาศยานรวมถึงการจัดอุปกรณ์การให้บริการให้สามารถรองรับผู้โดยสารที่เป็นคนพิการทุกประเภท รวมถึงผู้สูงอายุ แต่ปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไข
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อสายการบินผู้ถูกร้อง ให้ดำเนินการจัดให้มีระบบหรือแบบฟอร์มการแจ้งขอใช้/ให้บริการรถลิฟต์ยกผู้โดยสารในขั้นตอนการซื้อบัตรโดยสารให้ชัดเจน พร้อมแจ้งราคาการให้บริการ เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้โดยสารและป้องกันการสื่อสารที่อาจคลาดเคลื่อนในกรณีขอความช่วยเหลือพิเศษหรือไม่ได้แจ้งก่อนการเดินทาง และให้จัดหาหรือเตรียมอุปกรณ์การช่วยเหลือขึ้นลงอากาศยานทางเลือกอื่นแทนรถลิฟต์ยกผู้โดยสาร เช่น ทางลาด เพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารที่ใช้เก้าอี้เข็นรวมถึงผู้สูงอายุ และลดความเสี่ยงหรือป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในขณะยกเก้าอี้เข็นลงจากอากาศยาน
นอกจากนี้ ให้กระทรวงคมนาคมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กรมท่าอากาศยาน จัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือขึ้นลงอากาศยาน ลิฟต์ยกผู้โดยสาร ทางลาด และสะพานเทียบ ให้เพียงพอสำหรับการใช้งานในทุกท่าอากาศยาน โดยคิดในราคาทุนเพื่อไม่ให้เกิดภาระแก่ผู้โดยสาร และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เร่งรัดออกข้อกำหนดหรือระเบียบเกี่ยวกับการช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากภาครัฐในการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในการขนส่งทางอากาศแก่ผู้โดยสารพิการ
2. กสม. ตรวจสอบการก่อสร้างโรงงานหลอมอะลูมิเนียมโดยปกปิดข้อเท็จจริง กระทบสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ แนะหน่วยงานกำกับดูแล

นางสาวหรรษา หอมหวล เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีการก่อสร้างโรงงานหลอมและหล่ออะลูมิเนียมในพื้นที่ชุมชนบ้านนาใหม่ หมู่ที่ 5 ตำบลวังไผ่ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรีโดยไม่ทำประชาคมหรือรับฟังความคิดเห็นของประชาชน แต่ได้เริ่มถมดินและเตรียมก่อสร้างโรงงานไปแล้วบางส่วน ทำให้ประชาชนในพื้นที่กังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากสถานที่ตั้งของโรงงานอยู่ใกล้แหล่งน้ำที่สำคัญ และห่างจากชุมชนเพียง 2 กิโลเมตร แม้ในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 ผู้ถูกร้องได้นัดทำประชาคมกับชาวบ้านในพื้นที่ ณ ศาลาประชาคมของหมู่บ้าน เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงงาน แต่ประชาชนเกรงกลัวอิทธิพลจึงไม่กล้ารวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือเรื่องดังกล่าว ซึ่งอาจกระทบต่อกระบวนการมีส่วนร่วมและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า กิจการหลอมหล่ออะลูมิเนียมของผู้ถูกร้องซึ่งใช้เศษอะลูมิเนียมเป็นวัตถุดิบ และใช้ขี้เลื่อยอัดแท่งเป็นเชื้อเพลิง เข้าข่ายเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพที่ต้องควบคุม ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และโรงงานที่ใช้เป็นอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ต้องได้รับการอนุญาตจากองค์การบริหารส่วนตำบลวังไผ่ (อบต. วังไผ่) รวมทั้งเป็นโรงงานจำพวกที่ 3 ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ที่ต้องได้รับการอนุญาตจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรี (สอจ. กาญจนบุรี) ซึ่งก่อนการได้รับอนุญาตจะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
จากการตรวจสอบของ กสม. พบข้อเท็จจริงว่า ก่อนจัดรับฟังความคิดเห็นตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข ผู้ถูกร้องได้จัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับการประกอบกิจการ รวมทั้งกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ อบต. วังไผ่ พิจารณาความเหมาะสม และประกาศให้ประชาชนทราบข้อมูลเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงงาน กระบวนการผลิต วัตถุดิบ และการป้องกันมลพิษ ต่อมา เมื่อผู้ถูกร้องได้จัดอภิปรายสาธารณะเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 โดยมีผู้แทนหน่วยงานราชการ สถานศึกษา วัด และประชาชนในเขตตำบลวังไผ่เข้าร่วมประมาณ 80-100 คน ประชาชนบางส่วนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหามลพิษที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชน ซึ่งผู้ถูกร้องชี้แจงว่าได้กำหนดมาตรการป้องกันไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการดำเนินการของผู้ถูกร้องจะเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ปรากฏว่าลักษณะของเตาหลอมที่ติดตั้งไว้ในอาคารโรงงานเป็นเตาหลอมสำหรับใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องแจ้งในการประชุมรับฟังความคิดเห็นว่าจะใช้ขี้เลื่อยอัดแท่ง ซึ่งการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงย่อมเกิดปัญหามลพิษมากกว่า และมีวิธีการบำบัดหรือขจัดมลพิษที่เข้มงวดแตกต่างไปจากการใช้ขี้เลื่อยอัดแท่งซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล กสม. เห็นว่า การดำเนินการของผู้ถูกร้องถือเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อการมีส่วนร่วมและการแสดงความคิดเห็นของประชาชนในชุมชน จึงเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ส่วนกรณีที่ผู้ถูกร้องยื่นขอรับการอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานต่อ สอจ. กาญจนบุรี นั้น ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาซึ่ง สอจ.กาญจนบุรีจะต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามขั้นตอนต่อไป จึงยังไม่มีประเด็นที่ กสม. ต้องพิจารณา อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของรัฐตามหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UNGPs) และแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (NAP) ที่ต้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการของภาคธุรกิจและกำกับดูแลให้ประชาชนได้รับทราบรายละเอียดการประกอบกิจการที่เพียงพอและถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อให้สามารถมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยให้ผู้ถูกร้องจัดการแก้ไขปรับปรุงเตาหลอมอะลูมิเนียมให้ใช้เชื้อเพลิงชนิดขี้เลื่อยอัดแท่ง ตามที่ได้รับฟังความคิดเห็น และที่ได้แจ้งไว้ต่อ อบต. วังไผ่ และ สอจ. กาญจนบุรี ด้วย
นอกจากนี้ กสม. ยังมีข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยัง อบต. วังไผ่ ให้ตรวจสอบความครบถ้วนสมบูรณ์ของคำขอรับการอนุญาตให้ประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประเภทหลอมหล่ออะลูมิเนียมของผู้ถูกร้องให้ถูกต้องตามความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอนและเนื้อหาการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตรวจสอบสถานที่ตั้ง สภาพแวดล้อมของสถานประกอบกิจการ ก่อนการพิจารณาให้อนุญาต และให้สอจ. กาญจนบุรี ตรวจสอบความครบถ้วนสมบูรณ์ของคำขอรับการอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานหลอมหล่ออะลูมิเนียมของผู้ถูกร้องให้ถูกต้องเช่นเดียวกัน และจัดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วยการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของชุมชน เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานของผู้ถูกร้อง โดยให้ทั้งสองหน่วยงานนำข้อเท็จจริงตามรายงานการตรวจสอบฉบับนี้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาให้อนุญาตด้วย
พร้อมกันนี้ กสม. ได้เสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จัดฝึกอบรมสร้างความตระหนักรู้ด้านสิทธิมนุษยชน หลักการ UNGPs การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) รวมถึงแผน NAP ให้แก่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การปฏิบัติงานตามหน้าที่และอำนาจเป็นไปเพื่อคุ้มครองให้การประกอบธุรกิจของภาคเอกชนไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่ยื่นคำขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน จัดทำ HRDD โดยเฉพาะการกำหนดช่องทางแจ้งเรื่องร้องเรียนและการเยียวยาความเสียหายด้วย
3. กสม. มีความเห็นกรณีการบริหารจัดการปัญหาฝุ่นละออง เสนอรัฐบาลพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการเชื้อเพลิงตามประกาศจังหวัดเชียงใหม่โดยทุกฝ่ายมีส่วนร่วม

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เรื่อง ยกระดับมาตรการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ลงวันที่ 30 มกราคม 2568 โดยมีข้อสั่งการเกี่ยวกับการบริหารจัดการไฟป่า การบริหารจัดการเชื้อเพลิง โดยกำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการเผาอย่างเด็ดขาด และให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการจังหวัดใช้ระบบการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) สั่งการหน่วยงานยกระดับการดำเนินงานอย่างเข้มข้นในทุกมาตรการ ถือเป็นมาตรการเร่งด่วนที่ตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพื่อบรรเทาสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในภาพรวม
เมื่อสถานการณ์ฝุ่นละอองคลี่คลายลงบ้างแล้ว กสม. ขอให้รัฐบาลได้พิจารณารูปแบบการบริหารจัดการไฟป่าและเชื้อเพลิงเพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองรูปแบบอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น กรณีประกาศของจังหวัดเชียงใหม่ เรื่อง กำหนดเขตการบริหารจัดการเชื้อเพลิงและเขตควบคุมการเผาของจังหวัดเชียงใหม่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีหลักการสำคัญคือให้ทุกพื้นที่กำหนดเขตการบริหารจัดการเชื้อเพลิง เพื่อบริหารจัดการเชื้อเพลิงทางการเกษตรที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งและพื้นที่ป่าที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า รวมทั้งพื้นที่ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการหยุดยั้งการลุกลามของไฟตามหลักวิชาการ โดยทำแผนการบริหารจัดการเชื้อเพลิงและแจ้งดำเนินการจัดการเชื้อเพลิงผ่านระบบ Fire-D ณ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของพื้นที่นั้น ๆ เพื่อให้ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองระดับอำเภอหรือตำบล พิจารณาอนุญาตก่อนดำเนินการ อันเป็นแนวทางการบริหารจัดการเชื้อเพลิงโดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย คือ ประชาชน ภาคประชาสังคม และหน่วยงานในระดับพื้นที่อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 กสม. ได้มีข้อเสนอแนะถึงนายกรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยได้เน้นย้ำให้การแก้ไขปัญหาสอดคล้องกับสถานการณ์เชิงพื้นที่ และควรสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานทั้งในระดับจังหวัดและระหว่างจังหวัด โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ดีต่อสุขภาพ และยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลและข้อเสนอเกี่ยวกับแนวทางดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ซึ่งสอดคล้องตามประกาศของจังหวัดเชียงใหม่ข้างต้น ซึ่งจะเป็นอีกรูปแบบวิธีหนึ่งในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองจากการเผาโดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน
4. ประธาน กสม. มีหนังสือด่วนถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งข้อห่วงกังวลต่อการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทาง

นางสาวหรรษา หอมหวล เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ติดตามข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการเตรียมส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทาง ด้วยความห่วงกังวลอย่างยิ่งว่าการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ชาวอุยกูร์ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายต่อชีวิต อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ ได้แก่ การไม่ผลักดันบุคคลไปสู่อันตราย (Non-refoulement principle) และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของไทยอย่างร้ายแรง ทั้งพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) นอกจากนี้ ยังจะกระทบต่อสถานะของประเทศไทยในประชาคมโลก ตลอดจนต่อความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างไทยกับมิตรประเทศที่สำคัญ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงมีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งข้อห่วงกังวลต่อการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทาง โดยขอให้พิจารณาเรื่องนี้ ดังนี้
(1) การส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทางจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของไทยในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (HRC) เนื่องจากขัดต่อเจตนารมณ์และคำมั่นของประเทศไทยที่จะส่งเสริมการเคารพและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่ได้ให้ไว้ในการรณรงค์หาเสียงในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก HRC การที่ไทยได้รับเลือกเป็นสมาชิก HRC เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมาด้วยคะแนนสูงที่สุด สะท้อนให้เห็นว่าประเทศต่าง ๆ มีความเชื่อมั่นต่อนโยบาย ความมุ่งมั่น และการดำเนินการของไทยในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในหลายด้าน เช่น การออกกฎหมายเพื่อป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหาย ตามพันธกรณีในอนุสัญญา CAT ได้อย่างมีประสิทธิผล การดูแลผู้หนีภัยสู้รบชาวเมียนมา การแก้ไขปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล เป็นต้น
(2) กลุ่มประเทศมุสลิมหลายประเทศ รวมทั้งองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organization of Islamic Cooperation: OIC) ได้มีท่าทีและติดตามสถานะของเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การส่งกลับชาวอุยกูร์ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่นับถือศาสนาอิสลาม จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศมุสลิมทั้งในอาเซียนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตะวันออกกลาง รวมถึงอาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับ OIC ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความพยายามของไทยในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และอาจส่งผลให้สถานการณ์กลับมาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อันจะกระทบต่อสิทธิและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่จะนำความสงบคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้และตั้งเป้าที่จะยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายด้านความมั่นคงในพื้นที่ภายในปี 2570
(3) การส่งชาวอุยกูร์กลับยังจะส่งผลกระทบต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยกับประเทศตะวันตก ซึ่งให้ความสำคัญอย่างมากกับการเคารพสิทธิมนุษยชนในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ นอกจากนี้ อาจมีผลต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่นักลงทุนต่างชาตินำมาประกอบการพิจารณานำเงินมาลงทุน ทั้งนี้ หากการค้าการลงทุนจากต่างประเทศลดลง ย่อมมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในสภาวะผันผวนทางเศรษฐกิจของโลก รวมถึงต่อมาตรฐานการครองชีพและความกินดีอยู่ดีของประชาชนไทยเอง
(4) ประเทศไทยมีวิวัฒนาการในการพัฒนาประเทศมาหลายทศวรรษ ทั้งในบริบทของการเมือง สังคม เศรษฐกิจ จนมีศักดิ์ศรีและสถานะเป็นที่ยอมรับในประชาคมระหว่างประเทศว่ายึดมั่นในหลักการสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศโดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชน กสม. จึงขอกราบเรียนมาเพื่อนายกรัฐมนตรีทบทวนนโยบายการส่งกลับดังกล่าวโดยเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ประเทศไทยสูญเสียการยอมรับที่พัฒนามายาวนานข้างต้น และกระทบต่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนโดยรวม
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
27 กุมภาพันธ์ 2568